7 ประโยชน์จากการว่ายน้ำของเด็ก

การว่ายน้ำสำหรับเด็ก ทั้งในสระน้ำเด็ก หรือสระน้ำทั่วไป

ถือเป็นการออกกำลังกาย ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา

เพราะเป็นเมืองร้อน ที่เด็กจะได้ทั้งความสนุก เพลิดเพลิน

พร้อมกับออกกำลังกายไปในตัว

ทั้งยังเป็นทักษะที่สำคัญ ในการเอาตัวรอดเวลาจนน้ำอีกด้วย

วันนี้เราขอแชร์ 7 ประโยชน์ที่ได้จากการว่ายน้ำ

สำหรับเด็ก 1-5 ขวบกันนะครับ

1.ช่วยให้เด็ก รับประทานอาหารเยอะขึ้น

เพราะเหนื่อยล้า จากการว่ายน้ำ ร่ายกายใช้พลังงานสูง

ทำให้อยากรับประทานอาหารมากขึ้น มีผลต่อการเจริญเติบโต

2.ทำให้เด็กหลับง่าย หลับลึก นอนเร็ว

เพราะร่างกายได้ออกกำลังเต็มที่ ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ

ทำให้เข้านอนตอนหัวค่ำได้เร็ว และจะมีผลต่อการผลิต Growth Hormone

ในร่างกายที่ทำให้ลูก เจริญเติบโตได้ดีตามวัย

3.ทำให้ลูกมีอารมณ์ที่ดี ไม่ใจร้อน ขี้หยุดหงิดได้ง่าย

เนื่องจากอากาศบ้านเรา ที่ค่อนข้างร้อน ทำให้เด็กมีอาการขี้โมโหได้

การเล่นน้ำ จะเป็นการปรับอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง

ให้ความรู้สึกเป็นอิสระ ผ่อนคลาย ทำให้เด็กปรับตัวได้ดีขึ้น

4.เด็กจะจดจำการเคลื่อนไหวไปตลอดชีวิต

ซึ่งเป็นข้อดี ที่เป็นทักษะสำคัญ ในการเอาตัวรอดเมื่อจมน้ำ

และในอนาคต ยังสามารถต่อยอดไปเป็นนักกีฬาว่ายน้ำได้ไม่ยากอีกด้วย

5.กระตุ้นการสร้างจินตนาการของเด็กได้ดีเยี่ยม

ลูกๆจะมีจินตนาการในในน้ำได้ดี เนื่องจากเคลื่อนไหวได้อิสระ เหมือนลอยได้

เช่น จินตนาการเป็นปลา นก บอลลูน ฯลฯ

ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

6.สร้างความผูกพันธ์ ให้ครอบครัว

พ่อและแม่ ควรลงไปเล่นน้ำกับลูกน้อยอย่างใกล้ชิด

ซึ่งจะทำให้เค้าได้รับความผูกพันธ์ และความอบอุ่นที่มีจากพ่อแม่

และเป็นประสบการณ์ที่ดี ในการสร้างความรักในครอบครัวอีกด้วย

7.ปรับสมดุลในร่างกายของเด็กได้ดี

การว่ายน้ำ หรือเล่นในน้ำที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ที่ประมาณ 30ถึง 33องศา

จะช่วยปรับสมดุลร่างกายของลูกน้อย ให้มีความสมดุลมากยิ่งขั้น

มีผลทำให้การเจริญเติบโตได้ดียิ่งขั้น

แหล่งข้อมูล : http://familypoolday.lnwshop.com

อ่านเพิ่มเติม

วิธีแก้อาการ ปวดหลัง ปวดไหล่ ขณะขับรถ

จริงๆช่วงเวลาของมนุษย์นักขับ ควรจะเป็นเวลาที่มีความสุขเมื่อได้อยู่บนท้องถนนกับรถยนต์คันโปรด ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางในเมืองหรือถนนเส้นยาวในต่างจังหวัด แต่หลายคนกลับต้องเจอเรื่องน่าหงุดหงิดใจคล้ายๆกันคือ อาการปวดหลัง ปวดไหล่ เมื่อยเเขน เพราะฉะนั้น จงระวังหลังของคุณให้ดี!

อาการปวดหลังระหว่างขับรถ เกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณแผ่นหลังเป็นเวลานานในท่าเดิม แม้บนเก้าอี้ที่ถูกออกแบบมาสําหรับสรีระในการนั่งขับขี่ ส่วนโค้งของหลังส่วนเอวจะโค้งกลับทิศขณะนั่ง กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ที่ต้องถูกเกร็งขึ้นเพื่อจับพวงมาลัยตลอดเวลา ประกอบกับการเพ่งมองไปข้างหน้าทําให้สายตาเกิดความเมื่อยล้า ทําให้เกิดความเครียด ส่งผลต่ออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เส้นประสาทต่างๆกับแรงกระทําต่อร่างกาย จากความเร่งในการเคลื่อนที่ แรงเหวี่ยง หรือแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวถนน และยังต้องใช้เท้าเหยียบเบรค และคันเร่งที่จะสามารถใช้ในการช่วยทรงตัวเหมือนเวลานังเก้าอี้ปกติได้ นั่นยิ่งทําให้กล้ามเนื้อหลังถูกใช้งานมากขึ้น ลองทําตามวิธีแนะนําเบื้องต้นเหล่านี้ เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังระหว่างขับรถ ให้ระหว่างทางที่จะไปถึงที่หมายไม่น่าหงุดหงิดใจมากนักค่ะ

วิธีแก้อาการปวดหลัง ปวดไหล่
– นั่งให้พอดีกับตัวคนขับในช่วงขา ทั้งระยะใกล้ไกลจากพวงมาลัยให้พอดีกับช่วงแขน ความสูงต่ำของเบาะ ความเอียงของเบาะพิงหลัง กระจกส่องข้างและกระจกมองหลัง เพื่อให้อยู่ในระยะที่สายตามองเห็นได้โดยไม่ต้องขยับศีระษะหรือโยกตัว
– หลังการขับอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 2 ชั่วโมง ควรพักสายตา เดินลงไปยืดเส้นสาย เดินไปมา หรือหากไม่สามารถทำได้ ก็ควรยืดตัว เอนหลังบ่อยๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหวบ้าง
2 เคล็ดลับเหล่านี้อาจช่วยคุณได้ในเบื้องต้น แต่การป้องกันที่ดี คือการออกกําลังกายที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังได้ยืดหยุ่น ผ่อนคลาย เคลื่อนไหวได้อย่างไม่เครียดเกร็ง

แหล่งที่มา : https://www.health-th.com/

อ่านเพิ่มเติม

ทำอย่างไรดี ? เมื่อลูกอ้วน

เมื่อรู้ว่าลูกอ้วน หรือแค่เริ่มท้วมก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ ต้องเริ่มตระหนัก และต้องมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยลูก เพราะถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมา

การควบคุมน้ำหนักมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่สำคัญ ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือวิถีการดำเนินชีวิตเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาน้ำหนักเกิน โดยพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยนได้แก่ พฤติกรรมการบริโภค และการออกกำลังกาย ซึ่งจะต้องทำโดยค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นวิถีชีวิตที่ดีเช่นนี้ตลอดไป จึงจะประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัย “เวลา”

เทคนิคในการลดน้ำหนักของเด็กอ้วน

  1. ครอบครัวต้องมีส่วนร่วม
  2. ส่งเสริมการกินที่ถูกต้อง
    • เลือกซื้อผัก และผลไม้สดเก็บไว้ในตู้เย็น แทนขนมกรุบกรอบ ขนมที่มีพลังงานสูง เช่น เค้ก คุกกี้ มันฝรั่งทอด
    • งดซื้อน้ำอัดลม น้ำหวานไว้ในตู้เย็น
    • น้ำเปล่าดีที่สุด
    • ดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 กล่อง
    • กินอาหารเช้าทุกวัน การงดอาหารเช้าทำให้เด็กหิว และจะหาอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากินแทนข้าว และจะกินมากขึ้นเพื่อทดแทนอาหารเช้า
    • กินอาหาร fast food ให้น้อยลง
    • สอนลูกหลานและคนในครอบครัวให้มีบริโภคนิสัยที่ถูกต้อง มีความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร ควรทำตั้งแต่เขายังเด็ก
    • อย่าห้ามลูกกินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะลูกจะแอบกิน อาจจะให้กินได้บางกรณี เช่น มีโอกาสพิเศษ หรือมีงานเลี้ยงสังสรรค์
    • อาหารไขมันต่ำของทั้งครอบครัว ไม่ใช่แยกทำให้ลูกอ้วน หรือ คนใดคนหนึ่ง เพราะเด็กจะรู้สึกถูกแบ่งแยก การกินอาหารไขมันต่ำก็เป็นประโยชน์ต่อทุกคน
    • ควรระวังในการกินน้ำตาล (หวาน) และ เค็ม
    • เตือนให้เด็กรับประทานช้าๆ
    • รับประทานอาหารพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวให้บ่อยเท่าที่จะทำ ได้ พยายามให้เวลาอาหารเป็นเวลาที่น่ารื่นรมย์ ไม่ใช่เวลาดุด่าหรือโต้เถียงกัน
    • ให้เด็กๆ มีส่วนร่วมในการไปจ่ายกับข้าวและการเตรียมอาหาร บิดา มารดาจะได้มีโอกาส สอนลูกให้รู้จักอาหาร และคุณค่าของอาหาร
    • ของว่าง ที่มีคุณค่า ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็น ถั่ว หรือเมล็ดดอกทานตะวันหรือเมล็ดฝักทอง ขนมปังหรือแคร็กเกอร์ที่ทำจากแป้ง whole wheat
    • หลีกเลี่ยงการกินอาหารหรือ ของว่าง (ขนมขบเคี้ยว) ในขณะดูทีวี การรับประทานอาหารขณะดูทีวีจะทำให้ลืมความอิ่มไป และอาจรับประทานอาหารมากเกินได้
    • อย่าใช้อาหารเป็นเครื่องลงโทษหรือให้รางวัลแก่เด็กๆ
    • ส่งเสริมให้ลูกมีการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกายให้มากขึ้น
    • พ่อแม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก มีความกระตือรือร้นต่อการออกกำลังกาย และสนุกสนาน ได้แก่ เดินเล่น วิ่ง ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ
    • ช่วยจัดหากิจกรรมที่เหมาะสมสนุกสนาน
    • คุณพ่อคุณแม่ควรมีการวางแผนการดูทีวี การเล่นวิดีโอเกม และเล่นคอมพิวเตอร์ให้ลูกว่า วันหนึ่งควรทำได้กี่นาที กี่ชั่วโมง และอาจทำตารางการดำเนินชีวิตไว้ว่า วันหนึ่งจะทำอะไรบ้าง เวลาไหน นานเท่าไร โดยให้ลูกมีส่วนร่วมในการจัดตารางนี้ด้วย พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลให้ลูกฟังว่าเพราะเหตุใดจึงต้องจัดตารางเช่นนี้

เด็กเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ดีที่สุด ก็ต้องมีการให้ตัวอย่าง จงเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก ในการกินอาหารที่หลากหลายและเป็นคนสดชื่นมีชีวิตชีวา สิ่งนี้แหละจะสอนให้ลูกคุณมีบริโภคนิสัยที่ดี มีสุขภาพดี ซึ่งพวกเขาจะได้ทำตามสิ่งนี้ไปตลอดชีวิต

แหล่งที่มา :  http://www.dekthaidoodee.com

อ่านเพิ่มเติม

10 ประโยชน์จากการดื่มน้ำอุ่น

การดื่มน้ำมีความสำคัญต่อร่างกายและวิถีชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและผิวพรรณต่างเห็นตรงกันว่าการดื่มน้ำนั้นช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงและช่วยให้ผิวนุ่มแลดูอ่อนเยาว์ลง

การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำควรเป็นกิจวัตรสำหรับคนที่ใส่ใจในสุขภาพทุกคนควรควรปฏิบัติตามทุกวัน ดังนั้นการดื่มน้ำหนึ่งแก้วเมื่อตื่นนอนจึงเป็นกิจวัตรที่ดีมาก แต่จำเป็นต้องทราบว่าเราควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นจึงจะดีกว่ากัน?

แพทย์ต่างยืนยันว่าการดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้านั้นดีกว่า แม้ว่ามันจะไม่ค่อยถูกลิ้นสักเท่าไร คุณจะดื่มเปล่าๆ หรือจะหยดน้ำมะนาวลงไปสักนิดเพื่อเพิ่มรสชาติก็ยังได้ และการดื่มน้ำอุ่นไม่จำกัดแค่ในตอนเช้า แต่ยังมีประโยชน์เมื่อดื่มในเวลาอื่นๆ ลองอ่านบทความนี้ดูคุณจะทราบว่า การดื่มน้ำอุ่นมีประโยชน์กับร่างกายและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ อย่างไรได้บ้าง

ต่อไปนี้คือประโยชน์ 10 ประการที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่มน้ำอุ่น

1. ช่วยย่อยอาหาร
เพื่อปรับปรุงการย่อยให้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมย่อมอาหารทำงานได้อย่างถูกต้อง ช่วยจัดการกับอาหารในกระเพาะ ดังนั้นระบบย่อยก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ทั้งยังใช้พลังงานในกระบวนการย่อยน้อยลงด้วย

นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกำจัดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาความเป็นกลางของน้ำย่อยไว้นั่นเอง

จากการศึกษาในปี 2012 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว ได้รายงานว่าการดื่มน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการให้กับผู้ที่มีภาวะหลอดอาหารเคลื่อนไหวผิดปกติได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกลืนยาก สำลักอาหารและเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อกระตุก ผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากระบบย่อยอ่อนแอก็ควรดื่มน้ำอุ่นเป็นแก้วแรกเมื่อตื่นนอนด้วย

2. บรรเทาอาการท้องผูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำในขณะที่ท้องว่างยังช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ และช่วยต่อสู้กับอาการท้องผูกได้

อาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำในลำไส้น้อยเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงถ่ายออกมาได้ยาก การดื่มน้ำอุ่นจึงช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างได้ผล

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยสลายอาหารที่เหลืออยู่ให้หมดไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดอาการท้องอืด อาการปวดท้องอันเนื่องมากจากอาการท้องผูกได้

เพื่อต่อสู้กับอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 1 แก้วทุกเช้าในเวลาท้องว่าง ลองหยดน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อลำไส้ได้มากขึ้นไปอีก

3. บรรเทาอาการเจ็บคอ
อาการเจ็บคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเวลาลำคอเกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อ อันเกิดจากโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยให้รู้สึกสบายคอมากขึ้น อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว และขจัดออกมาจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น

นอกเหนือจากการดื่มน้ำอุ่นเปล่าๆ คุณยังเปลี่ยนไปดื่มชาสมุนไพรแทนได้ อีกทั้งยังควรกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา เพื่อช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นและลดการติดเชื้อในลำคอได้ด้วย

4. ช่วยรักษาอาการคัดจมูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกทำให้รู้สึกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกไม่อึดอัด

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่นๆ เข้าไป มันจะช่วยให้เสมะหรือน้ำมูกที่ข้นเหนียวอยู่ละลายแล้วขับออกทั้งจากในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้หายป่วยได้เร็วขึ้นไปด้วย

5. ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน
ผู้ที่กำลังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น การลดน้ำหนักจึงจะได้ผลดีกว่า

น้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกลางลำตัวให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นไปอีก

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยลดไขมันในร่างกายลงได้ และเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้น ให้ลองดื่มน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวสักเล็กน้อยทุกวันในตอนเช้า มันจะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันหรือไขมันในร่างกาย นอกจากนี้เส้นใยเพคตินในมะนาวยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้คุณกินอาหารมันๆ หรือไม่ดีต่อสุขภาพได้น้อยลงไปด้วย

6. ช่วยล้างพิษในร่างกาย
การดื่มน้ำอุ่นสามารถชำระชะล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้ เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น 2-3 ถ้วย มันจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยให้เหงื่อออกจึงรู้สึกเย็นลง ซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมานี่ช่วยชะล้างสารพิษออกมาจากร่างกายนั่นเอง

การดื่มน้ำอุ่นทุกวันยังช่วยล้างพิษออกจากผิวพรรณได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวผื่น สิวเสี้ยน การดื่มน้ำโดยทั่วไปแล้วยังเหมาะสำหรับการล้างพิษและชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อนดื่ม จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปอีก

7. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยป้องกันและลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะน้ำอุ่นช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดี

นอกจากนี้ยังหยุดการเก็บกักน้ำ ป้องกันอาการเจ็บปวดในช่วงกำลังมีรอบเดือน ในครั้งต่อไปที่คุณเริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแล้วนำเอากระเป๋าน้ำร้อนวางประคบบริเวณท้องน้อย ก็จะยิ่งช่วยให้อาการปวดดีขึ้นด้วย

8. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
การดื่มน้ำอุ่นช่วยปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญเพราะช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไหลผ่านไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะทั่วร่างกาย การไหลเวียนโลหิตที่เหมาะสมสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและยังล้างพิษที่เป็นอันตรายออกไปได้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอุดตันได้

9. ช่วยให้แก่ช้าลง
การดื่มน้ำอุ่นดีต่อผิวพรรณอีกด้วยนะ เพราะมันช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้เป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัยและปัญหาสุขภาพต่างๆ

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณของคุณ ลองดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมน้ำมะนาวลงไปสักครึ่งลูก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการล้างพิษได้

10. ช่วยกระตุ้นการนอนหลับ
หากคุณมีปัญหาการนอนหลับ ลองจิบน้ำอุ่นสักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น น้ำอุ่นๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับประสาท ทำให้ง่วงและสงบลงได้

นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารกลางดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้า

ข้อแนะนำในการดื่มน้ำอุ่น
ควรดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำร้อนอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อในปากและหลอดอาหารได้
หลังจากน้ำเดือดแล้ว ปล่อยให้เย็นลงสักครู่จึงค่อยดื่ม
ดื่มน้ำอุ่นเสมอหลังจากทานอาหาร หากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่นหลังการออกกำลังกาย เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว

แหล่งที่มา : https://www.health-th.com

อ่านเพิ่มเติม

วิ่งแล้วปวดเข่า ต้องทำอย่างไร ?

อาการ “ปวดเข่า” เป็นอาการบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุดในหมู่นักวิ่ง ซึ่งอาการที่พบบ่อยที่สุดก็คือ “ผิวใต้สะบ้าอักเสบ” (Patellofemoral Pain Syndrome) หรือ Runner’s Knee เวลาไปปรึกษาแพทย์ ก็มักจะได้รับคำแนะนำให้หยุดวิ่ง เดี๋ยวเข่าเสื่อม! ซึ่งอันที่จริงแล้วการวิ่งไม่ได้สัมพันธ์กับการเกิดเข่าเสื่อมครับ แต่สัมพันธ์กับน้ำหนักตัวมากกว่า ว่าแล้วเราลองมาทำความเข้าใจกันดูครับว่าอาการปวดเข่านั้นเกิดจากอะไรกันแน่

สาเหตุหลักที่พบมากที่สุดของการปวดเข่าจากการวิ่ง คือ การก้าวยาวเกินไป หรือ Overstride ครับ Overstride คือ การวิ่งลงส้นในขณะที่เข่าตึง ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกระแทกขึ้นมาถึงเข่าได้มาก ทำให้กล้ามเนื้อช่วยรับแรงได้น้อย เปรียบเสมือนการตอกเสาเข็มนั่นเอง ดังนั้นถ้าเราอยากวิ่งต่อไป ก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ก้าวยาวเกินไปครับ

ถ้าหากเกิดอาการปวดเข่าขึ้นมาแล้ว นักวิ่งทั้งหลายควรปฏิบัติดังนี้ครับ
เพิ่มรอบขาให้เร็วขึ้นในความเร็วเท่าเดิม
การเพิ่มรอบขานั้นสามารถทำให้ก้าวสั้นลงได้ เพื่อลดโอกาสการเกิด Overstride ซึ่งการเพิ่มรอบขานั้นไม่จำเป็น ต้องให้ได้ถึง 180 รอบ/นาทีก็ได้ครับ เพราะการเพิ่มรอบขาให้เร็วขึ้น 10% สามารถช่วยลดแรงกระแทกที่เข่าลงได้ถึง 30% เลยครับ
งอลำตัวไปข้างหน้ามากขึ้น หรือพับตัวช่วงสะโพกไปข้างหน้า แต่หลังยังตรงอยู่
การงอลำตัวประมาณ 15 องศา จะช่วยลดแรงกระแทกที่เข่าได้อย่างชัดเจน การงอลำตัวไปข้างหน้าทำให้ก้าวยาวยากขึ้น จะช่วยลดโอกาสการเกิด Overstride ได้ครับ
ฝึกวิ่งลงเท้าโดยค่อนไปทางหน้าเท้าแทนการวิ่งลงส้น
วิธีนี้แนะนำให้ใช้ก็ต่อเมื่อได้ลองปรับท่าวิ่งตาม 2 ข้อแรกแล้วยังมีอาการปวดอยู่นะครับ เพราะว่าการวิ่งลงหน้าเท้า ถึงแม้จะช่วยลดแรงกระแทกที่เข่าได้ แต่จะไปเพิ่มแรงที่ข้อเท้าแทน อาจจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ ข้อเท้า เท้า และน่องมากขึ้น หากเปลี่ยนท่าอย่างไม่ถูกวิธี
อีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดเข่าก็คือ กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) และกล้ามเนื้อสะโพกด้านข้าง (Gluteus Medius) ไม่แข็งแรงพอครับ โดยกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้ามักจะสัมพันธ์กับอาการปวดเข่าในนักวิ่งชาย ส่วนกล้ามเนื้อสะโพกด้านข้างจะสัมพันธ์กับอาการปวดเข่าในนักวิ่งหญิง ดังนั้นเราจึงต้องเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 2 ส่วนนี้ด้วยการ Squat, Leg Extension, Hip Abduction และท่าอื่นๆ อีกมากมาย

สรุปสั้นๆ วิธีวิ่งให้หายปวดเข่า ดังนี้ครับ

เพิ่มรอบขาให้เร็วขึ้นในความเร็วเท่าเดิม
งอลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยขณะวิ่ง
เปลี่ยนให้การลงเท้าค่อนมาทางหน้าเท้ามากขึ้น
เพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อต้นขา และสะโพก

แหล่งที่มา : https://www.samitivejhospitals.com/th

อ่านเพิ่มเติม