ข้อดีของสระว่ายน้ำระบบเกลือ

12 ข้อดีของ สระว่ายน้ำระบบเกลือ

1.ช่วยให้คุณประหยัดเวลา และ ค่าใช้จ่ายเพราะไม่ต้องซื้อและเติมคลอรีนอีกรวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการค่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำได้เป็นอย่างมาก

2.ผลิตคลอรีนบริสุทธิ์ตลอดเวลาให้กับสระว่ายน้ำโดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 1/6 ของค่าใช้จ่ายคลอรีนแบบน้ำแบบผงหรือแบบก้อน

3.ลดขั้นตอนในการสั่งซื้อคลอรีนและขั้นตอนในการเติมคลอรีน ประหยัดค่าแรงงานในการดูแลสระว่ายน้ำ

4.ลดอันตรายในการจัดเก็บและขนย้ายคลอรีน ปลอดภัยสำหรับครอบครัวคุณและเด็กเล็ก

5.ไม่ต้องใช้คลอรีนช่วยบำบัดน้ำหรือฆ่าเชื้อโรคใน สระว่ายน้ำ และไม่ต้องเพิ่มอุปกรณ์ใดๆในการติดตั้งสามารถใช้ได้กับสระเก่าและสระสร้างใหม่ ติดตั้งง่ายโดยไม่มีผลกระทบใดๆกับอุปกรณ์สระว่ายน้ำอื่น

6.ผลิตคลอรีนบริสุทธิ์ด้วยตัวเองให้กับสระว่ายน้ำท่าน ช่วยให้ท่านมีเวลาว่างมากขึ้นไม่ต้องตรวจเช็คบ่อย

7.ไม่มีสิ่งปนเปื้อนที่สกปรกเจือปนในสระว่ายน้ำ ขณะที่ระบบคลอรีนมีสารเจือปนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

8.ระบบน้ำเกลือ อ่อนโยน ไม่ฉุน ไม่มีกลิ่นรุนแรงเหมือนคลอรีนช่วยรักษาป้องกันและรักษาสุขภาพ จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียพบว่า “น้ำเกลือช่วยลดสาเหตุการจมน้ำเสียชีวิตของเด็กเล็กได้ดีกว่าน้ำประปา”

9.“ระบบเกลือ”ไม่ทำให้แสบตาหรือตาแดง เส้นผมแห้งแข็ง และไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง นักว่ายน้ำทั่วโลกทราบเป็นอย่างดีว่าน้ำเกลือดีต่อสุขภาพอีกทั้งช่วยป้องกันฟันผุอีกด้วย อีกทั้งช่วยรักษาชุดว่ายน้ำไม่ให้ซีดอีกด้วย

10.ผู้ที่มีอาการแพ้คลอรีนสามารถว่ายน้ำในสระได้ตลอดเวลาด้วย “ระบบเกลือ” รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดและภูมิแพ้ด้วย เพราะคลอรีนจากเกลือบริสุทธิ์นั้นไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่มีรส ไม่มีกลิ่น

11.ช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ลดการนำเข้าคลอรีนซึ่งมีราคาแพง ส่งเสริมการใช้เกลือซึ่งผลิตเองได้ในประเทศ

12. “ระบบเกลือ”ไม่ทำให้กระเบื้องหรือปูนยาแนวสึกกร่อนและไม่ทำให้อุปกรณ์สระว่ายน้ำอื่นๆเสียหายอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม

5 วิธีการป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม

กรมควบคุมโรค ห่วงประชาชนเจ็บป่วยจาก 3 กลุ่มโรคและ 3 ภัยสุขภาพที่มากับน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก แนะ 5 วิธีการป้องกัน คาดฤดูฝนนี้จะพบรายงานผู้ป่วยโรคต่างๆเพิ่มขึ้น ล่าสุดพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยเริ่มมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ทำให้บางพื้นที่อาจเกิดน้ำป่าไหลหลากหรือน้ำท่วมได้ กรมควบคุมโรคจึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามทางไหลของน้ำป่าหรือพื้นที่เคยประสบอุทกภัย ระวังและเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ ทั้งนี้ ขอให้ระวัง 3 กลุ่มโรค 3 ภัยสุขภาพที่มาจากน้ำท่วม ได้แก่ กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ กลุ่มโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ และกลุ่มโรคที่มาจากน้ำขัง รวมถึง 3 ภัยสุขภาพ คือ สัตว์แมลงมีพิษกัด/ต่อย พยาธิที่มากับน้ำท่วม และการจมน้ำ
โรคที่ประชาชนต้องระวังมีดังนี้ 1.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ คือ โรคไข้หวัดใหญ่และโรคปอดบวม 2.กลุ่มโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ คือ โรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง 3.กลุ่มโรคที่มาจากน้ำขัง คือ โรคไข้ฉี่หนู โรคตาแดง และโรคไข้เลือดออก ทั้ง 3 กลุ่มโรคในช่วงฤดูฝนนี้พบรายงานผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วน 3 ภัยสุขภาพ คือ สัตว์แมลงมีพิษกัด/ต่อย อาทิ งู แมงป่อง ตะขาบ เป็นต้น พยาธิที่มักพบมากับน้ำท่วม คือ พยาธิเส้นด้าย (พยาธิสตรองจีลอยด์) และการจมน้ำ มีรายงานพบปะปรายตลอดทั้งปี คาดพื้นที่ที่มีน้ำท่วมจะพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
สถานการณ์โรคและภัยสุขภาพจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 61 พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในช่วงหน้าฝน โดยโรคไข้หวัดใหญ่มีผู้ป่วย 74,793 ราย เสียชีวิต 10 ราย โรคปอดบวมมีผู้ป่วย 145,476 ราย เสียชีวิต 105 ราย โรคไข้ฉี่หนูป่วย 1,262 ราย เสียชีวิต 10 ราย โรคไข้เลือดออกมีผู้ป่วยจำนวน 37,793 ราย เสียชีวิต 45 ราย โรคอุจจาระร่วงป่วย 751,539 ราย เสียชีวิต 6 ราย  ส่วนโรคอาหารเป็นพิษมีผู้ป่วย 72,487 ราย และโรคตาแดงมีผู้ป่วย 53,701 ราย  ภัยสุขภาพปีที่ผ่านมา พบเหตุการณ์คนถูกสัตว์มีพิษกัด ต่อยมากกว่า 100 ครั้ง และการจมน้ำรายงานล่าสุดเมื่อ เมษายน 61 มีเสียชีวิตแล้ว 42 ราย
อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ำท่วมหรือน้ำป่าไหลหลาก สามารถปฏิบัติได้โดย 1) อย่าทิ้งขยะทุกชนิด หรือขับถ่ายของเสียลงน้ำท่วมขัง ให้ทิ้งขยะหรือสิ่งปฏิกูลลงในถุงพลาสติกและมัดปากถุงให้แน่นแล้วเก็บไว้ในที่แห้ง 2) อย่าปล่อยให้เด็กเล็กลงเล่นน้ำโดยลำพัง เพราะเด็กอาจจมน้ำและช่วยเหลือไม่ทัน และอาจรับเชื้อจากน้ำที่มีสิ่งสกปรก ทำให้ป่วยด้วยโรคตาแดง โรคพยาธิสตรองจีลอยด์ หรือถูกสัตว์มีพิษที่หนีน้ำมากัด ต่อยได้  3) หากน้ำท่วมขังกระเด็นเข้าตาหรือมีฝุ่นละอองเข้าไปในตา ให้ใช้น้ำสะอาดล้างหน้าและดวงตาให้สะอาด เพื่อป้องกันโรคตาแดงได้ 4) รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร้อน สะอาด เพื่อป้องกันโรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง 5) หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำเป็นเวลานาน ควรใส่รองเท้าบู๊ททุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม รีบทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งทันที หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

แหล่งที่มา : https://www.thaihealth.or.th

อ่านเพิ่มเติม

25 ข้อดีของการทานไข่

ถ้าพูดถึงแหล่งโปรตีนที่อยู่ใกล้ตัวและหารับประทานง่ายที่สุดก็­­­คงจะหนีไม่พ้น ไข่ ซึ่งเป็นอาหารที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ เพราะเป็นอาหารที่ทำง่ายและรับประทานกันได้ทุกเพศทุกวัย หลายคนอาจจะแค่ทราบว่าไข่มีสารอาหารมากมายที่ดีต่อร่างกาย­ แต่เคยสงสัยหรือเปล่านอกจากสารอาหารที่มีอยู่อย่างเพียบพร้อมแล­­­้ว ไข่ยังมีอะไรดีอีกบ้าง ถึงขนาดหน่วยงานทางด้านสุขภาพถึงออกมาแนะนำให้คนรับประทานไข่กั­­­นวันละ 1 ฟอง ถ้าอย่างนั้นลองไปดูประโยชน์ของไข่ที่เว็บไซต์ Health Extremist รวบรวมมาให้เราได้ทราบกัน รับรองว่ารู้แล้วต้องชอบรับประทานไข่มากขึ้นกว่าเดิมแน่

1. อุดมไปด้วยวิตามินชนิดต่าง ๆ และแร่ธาตุมากมายหลากหลายชนิด อาทิเช่น วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค

2. ช่วยลดความดันโลหิต จากการศึกษาพบว่า เปปไทด์ในไข่สามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตในเลือดสูงได้

3. เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีเยี่ยม ในไข่เพียง 1 ฟอง มีโปรตีนอยู่ถึง 6 กรัม ถือเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีเยี่ยมเหมาะสำหรับคนที่ไม่สามารถรับประ­­­ทานเนื้อสัตว์ได้ค่ะ

ประโยชน์ของไข่ อาหารยอดคุณ ที่คุณต้องร้องว้าว

4. มีไขมันโอเมก้า 3 ไข่เป็นอาหารที่อุดมด้วยไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งเป็นไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย แถมยังช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

5. อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญ ไข่ถูกเรียกว่าเป็นสุดยอดอาหารที่ดีกับสุขภาพ เหตุหนึ่งก็เพราะไข่เป็นแหล่งสะสมของกรดอะมิโนที่สำคัญต่อร่างก­­­ายถึง 9 ชนิดเลยทีเดียว

6. บำรุงสมองและระบบประสาท ในไข่เพียง 1 ฟอง มีโคลีน (Choline) มากถึง 20% ที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ซึ่งโคลีนเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง ส่งผลให้สมองและระบบประสาทแข็งแรง

ประโยชน์ของไข่ อาหารยอดคุณ ที่คุณต้องร้องว้าว

7. อุดมด้วย ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นสารแคโรทีนอยด์ที่มีความสำคัญกับสุขภาพดวงตา ทั้งนี้ยังช่วยปกป้องร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคจอประสาทเสื่อมได้อีกด้วย

8. มีทริปโตเฟน (Tryptophan) และ ไทโรซีน (Tyrosine) ไข่มีกรดอะมิโนที่สำคัญอยู่มากมาย โดยเฉพาะ 2 ชนิดนี้ ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ทริปโตเฟนยังเป็นสารที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปช่วยสร้างสารเซโรโทนิน ช่วยทำให้อารมณ์ดี และยังเปลี่ยนเป็นสารเมลาโทนินที่ช่วยในการนอนหลับอีกด้วย

9. มีวิตามินบี 12 สูง นอกจากจะมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินบี 12 ในไข่ยังเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในกระบวนการแปลงโฮโมซิสเตอีน (Homocysteine) ตัวร้าย ให้กลายเป็นโมเลกุลที่ปลอดภัยต่อร่างกาย อย่างเช่น กลูต้าไธโอน เป็นต้น

10. แหล่งอุดมแคลเซียม ไข่มีแคลเซียมสูงถึง 50 มิลลิกรัม หรือ 5% ของแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวัน นอกจากนี้การรับประทานไข่ทุกวันยังช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง­เต้านมและการเกิดติ่งเนื้อเมือกในลำไส้ใหญ่อีกด้วย

11. ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ สารโคลีนที่อยู่ในไข่เป็นสารอาหารสำคัญในการช่วยลดการอักเสบ­อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

12. ลดความพิการตั้งแต่กำเนิด หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ต้องการโฟเลตในปริมาณที่มากกว่าปกติเพื่อ­­­สร้างเสริมให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพดีและเจริญเติบโตอย่างแข็งแรงสม­บูรณ์ และในไข่นั้นมีปริมาณโฟเลตอยู่ถึง 44 ไมโครกรัม คิดเป็น 11% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน

13. แหล่งวิตามินเอที่สำคัญ วิตามินอีกชนิดที่มีมากในไข่ที่เรารับประทานนั้นก็คือวิตามินเอ­­­ ซึ่งมีถึง 19% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน วิตามินเอทำหน้าที่สำคัญในการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็ง­­­แรง

14. บำรุงผมและเล็บ สารอาหารและวิตามินต่าง ๆ โดยเฉพาะซัลเฟอร์สามารถช่วยบำรุงดูแลสุขภาพผมและเล็บได้ ใครที่มีปัญหาเรื่องเล็กเปราะหักได้ง่ายควรจะรับประทานไข่ค่ะ

ประโยชน์ของไข่ อาหารยอดคุณ ที่คุณต้องร้องว้าว

15. ป้องกันสารอนุมูลอิสระทำลายเซลล์ สารเซเรเนียมในไข่เป็นแร่ธาตุสำคัญซึ่งทำหน้าที่ลดการถ­ูกทำลายของเซลล์จากสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งและเนื้องอก โดยเฉพาะโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

16. ช่วยในการมองเห็นและลดความเสี่ยงโรคต้อกระจก ไข่ไม่ได้เพียงแต่ช่วยลดการเกิดจอประสาทตาเสื่อมเท่านั้น แต่สารต้านอนุมูลอิสระในไข่ยังช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของร­­­ังสียูวี และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกเมื่อแก่ตัวลงได้อีกด­­­้วย

17. สร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากวิตามินหลากหลายชนิดแล้วไข่ยังมีธาตุเหล็กที่ทำหน้าที่สร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและการผลิตเซลล์เม็­ดเลือดแดงให้เป็นไปอย่างปกติอีกด้วย

18. ช่วยลดน้ำหนัก จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลุยเซียนาพบว่าคนที่รับประทานไข่ในมื้­้อเช้าสามารถลดน้ำหนัก และมีแรงมากกว่าคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นขนมปัง

ประโยชน์ของไข่ อาหารยอดคุณ ที่คุณต้องร้องว้าว

19. เป็นของแหล่งวิตามินดี วิตามินดี เป็นแร่ธาตุสำคัญที่สร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและ­ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โดยไข่หนึ่งฟองมีวิตามินดีถึง 41 ยูนิต หรือ7 % ของปริมาณวิตามินดีที่ควรได้รับต่อวัน

20. ลดอาการอักเสบ อาการอักเสบในร่างกายมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคกระดูกพรุน อัลไซเมอร์ หรือแม้แต่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และสารที่ช่วยในการลดการอักเสบในร่างกายก็คือโคลีน ที่สามารถหาได้ในไข่ลูกกลม ๆ นี่ล่ะค่ะ

21. มีประโยชน์ต่อทารกในครรภ์ โคลีนในไข่เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์ สารอาหารดังกล่าวจะเข้าไปช่วยพัฒนาสมองและป้องกันการเกิดความผิดปกติในท่อประสาทอีกด้วย

22. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด หลายการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารอาหารในไข่สามารถช่วยป้องกันการแ­­­ข็งตัวของเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวายและโรคหลอดเลือดหัวใจได้

23. บำรุงความจำ ปริมาณแร่ธาตุและวิตามินในไข่ที่สูงสามารถช่วยสร้างเสริมการทำง­­­านของสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้ได้

24. ราคาไม่แพง ไข่เป็นอาหารที่มีราคาไม่แพงและสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ยิ่งถ้าหากอยากให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ก็ควรซื้อไข่ที่สดใหม­­­่จากฟาร์ม หรือจะเลี้ยงไก่ไข่ไว้เก็บไข่กินก็ได้เหมือนกันนะคะ

25. ทำอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะต้ม ตุ๋น เจียว ทอด ไข่ก็สามารถทำได้หมดเลยล่ะค่ะ และถ้าอยากให้ได้ประโยชน์มากขึ้นก็ลองเติมผัก หรือสมุนไพรลงไปปรุงได้ รับรองได้ประโยชน์เพียบ

ประโยชน์ของไข่ อาหารยอดคุณ ที่คุณต้องร้องว้าว

กินไข่วันละกี่ฟองถึงจะเหมาะสม?

ในไข่ไก่และไข่เป็ด 1 ฟอง จะมีคอเลสเตอรอลประมาณ 250 มิลลิกรัม ซึ่งจากข้อมูลสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำว่าคนเราควรได้รับคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกายไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจากการทานไข่มากเกินไป ก็ควรทานในปริมาณดังนี้

– เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ให้กินไข่แดงต้มสุกผสมกับข้าวบด ให้ครั้งแรกปริมาณน้อย ๆ แล้วค่อยเพิ่มขึ้นทีละนิด

– เด็กอายุ 7 เดือนขึ้นไปจนถึงวัยรุ่น บริโภคได้วันละ 1 ฟอง

– คนทำงาน สุขภาพปกติ ควรบริโภค 3-4 ฟองต่อสัปดาห์

– ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ควรบริโภคไข่ 1 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์

แหล่งที่มา : https://health.kapook.com/

อ่านเพิ่มเติม

10 ข้อดีของการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)

  การยืดกล้ามเนื้อดีกับร่างกายอย่างไร มาดูข้อดีของการออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ ที่มีดีมากกว่าแค่ทำให้ร่างกายแข็งแรง

 การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) ถือเป็นการบริหารร่างกายที่มีประโยชน์อย่างมาก และนิยมใช้เพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลัง เพราะยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายชนิดอื่น ๆ เช่น ทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น หรือทำได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่นอกจากนี้การออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายอย่าง และนี่คือ 10 ข้อดีของการออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ ที่หากทำทุกวันรับรองได้เลยว่าสุขภาพเป๊ะอย่างแน่นอน

การยืดกล้ามเนื้อ

1. เพิ่มความยืดหยุ่นและแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ

ถือเป็นประโยชน์หลักของการออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อเลยก็ว่าได้ เพราะจะช่วยให้กล้ามเนื้อเกิดความยืดหยุ่นและแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลดีต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุอย่างเช่น หกล้ม ข้อเท้าแพลง หรือช่วยลดอาการปวดหลัง ปวดไหล่จากออฟฟิศซินโดรม

2. ช่วยให้ออกกำลังกายได้ดียิ่งขึ้น

การยืดกล้ามเนื้อเพื่ออบอุ่นร่างกาย สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายได้ เพราะเมื่อยืดกล้ามเนื้อแล้ว กล้ามเนื้อของเราจะยืดหยุ่นมากขึ้นและทำให้เราสามารถออกกำลังกายในบางท่าได้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น ท่าสควอท หรือท่าลันจ์ เป็นต้น

การยืดกล้ามเนื้อ

3. ทรงตัวได้ดีขึ้น

การทรงตัวที่ดี ไม่ได้เกิดจากการที่ร่างกายมีสมดุลที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ โดยการศึกษาหนึ่งได้ให้อาสาสมัครออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้ออย่างน้อย 30 นาที แล้ววัดความสมดุลของร่างกายด้วยเครื่องวัดสมดุล (Stabilometer) พบว่าอาสาสมัครเหล่านี้มีความสมดุลของร่างกายดีกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งนักวิจัยสันนิษฐานว่าการยืดกล้ามเนื้อจะเข้าไปช่วยจัดระเบียบกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายสมดุลขึ้นนั่นเอง

การยืดกล้ามเนื้อ

4. ลดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

หลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมก่อนออกกำลังกายทุกชนิดถึงต้องยืดกล้ามเนื้อ สาเหตุก็เพราะการยืดกล้ามเนื้อจะช่วยลดความเสี่ยงอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายนั่นเอง โดยในขณะยืดกล้ามเนื้อสมองจะสั่งการให้กล้ามเนื้อในร่างกายอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมเพื่อการออกกำลังกาย อีกทั้งยังช่วยให้ส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือข้อต่อต่าง ๆ ขยับเยื้อนได้คล่องแคล่วอีกด้วย

5. ความเครียดลดลง

ความเครียดที่หลายคนต้องพบเจอ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากความเครียดที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ ซึ่งการยืดกล้ามเนื้อช่วยแก้ปัญหานี้ได้ค่ะ เพราะการยืดเหยียดจะช่วยไล่ความตึงเครียดในกล้ามเนื้อทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายหลังสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมาทำให้อารมณ์ดีมากขึ้นหลังจากการออกกำลังกาย

การยืดกล้ามเนื้อ

6. ช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพ

กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจากการยืดกล้ามเนื้อสามารถช่วยปรับบุคลิกภาพให้ดีขึ้นได้ แถมยังช่วยลดอาการปวดกล้ามเมื่อยต่าง ๆ ได้อีกด้วย ใครที่มีปัญหาบุคลิกภาพ อย่างเช่น เดินหลังค่อม ลองฝึกยืดกล้ามเนื้อให้เป็นประจำ รับรองได้เลยว่าบุคลิกภาพดี ๆ ไม่ไปไหนไกลแน่นอนค่ะ

7. กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย

การยืดเหยียดกล้ามเนื้อนอกจากจะทำให้ร่างกายยืดหยุ่นมาขึ้นแล้วก็ยังส่งผลดีต่อระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ทำให้ออกซิเจนถูกลำเลียงไปใช้ในส่วนต่าง ๆ รวมทั้งกล้ามเนื้อได้อย่างเพียงพอ จึงลดอาการเหนื่อยง่ายและเมื่อยล้าจากการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี หมดปัญหาหมดแรงเวลาออกกำลังไปได้เลย

การยืดกล้ามเนื้อ

8. ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

ถ้าจะพูดถึงการออกกำลังกายที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ก็คงต้องยกความดีความชอบให้การยืดกล้ามเนื้อไปเลยค่ะ เพราะมีการศึกษาในปี 2011 ของมหาวิทยาลัยลุยเซียนา ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า การออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยในการศึกษาได้ให้อาสามาสมัครที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง และให้ออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ 40 นาที ผลคือกลุ่มที่ออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เห็นไหมล่ะว่ามีโรคประจำตัวก็ออกกำลังกายได้

9. ลดอาการก่อนประจำเดือน

สำหรับคุณสาว ๆ ที่มักจะมีอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) มารบกวนใจ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน หรือท้องอืด ขอบอกว่าการยืดกล้ามเนื้อช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะการฝึกโยคะ เพราะการยืดกล้ามเนื้อด้วยท่าโยคะจะช่วยเพิ่มการหลั่งของอัลโลเพรกนาโนโลน (Allpregnannlone) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติในร่างกายจึงช่วยให้อารมณ์ในช่วงก่อนและมีประจำเดือนไม่แปรปรวนมากจนเกินไป อีกทั้งการฝึกโยคะยังช่วยยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดจากอาการปวดประจำเดือน ทำให้อาการปวดลดลง

การยืดกล้ามเนื้อ

10. ลดความอ่อนล้าในระหว่างวัน

พอเวลาล่วงเลยมาถึงตอนบ่าย หลายคนก็มักจะหมดแรง ง่วงเหงาหาวนอนจนต้องพึ่งพากาแฟแก้วโต ๆ ซึ่งถึงแม้การดื่มกาแฟจะช่วยให้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้ แต่ก็อาจจะต้องแลกด้วยอาการนอนไม่หลับในเวลากลางคืน ฉะนั้นขอแนะนำให้มาลองยืดเส้นยืดสายกันดีกว่า เพราะการยืดกล้ามเนื้อด้วยท่าง่าย ๆ ไม่กี่นาทีจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด เลือดจึงไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สมองลื่นไหล ลุยกับครึ่งวันบ่ายได้แบบไม่มีสะดุด

แหล่งข้อมูล :  http://design.drr.go.th/th/node/669

whatyourbodyneed

prevention

bodyandsoul

และ kapook.com

อ่านเพิ่มเติม

10 อันตรายจากแสงแดด

10 อันตรายจากแสงแดด

1. อันตรายจากแสงแดดทำให้ผิวไหม้

หากช่วงนี้ใครอยากได้ผิวสีแทนแล้วไปตากแดดอาจต้องผิดหวัง เพราะนอกจากผิวจะไม่เป็นสีแทนดังคิดแล้ว อาจได้ผิวไหม้กลับมาอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มข้นสูงมากเป็นพิเศษ ก็จะสามารถแผดเผาเซลล์ผิวหนังให้เสียหายได้ง่ายๆ และผิวที่โดนแดดก็จะได้รับรังสียูวีเกินขนาด จนทำให้เส้นเลือดไหลเวียนมาที่เซลล์ผิวที่ถูกรังสียูวีทำลาย จึงเป็นสาเหตุให้ผิวมีสีแดงจัด และเกิดการไหม้เกรียมแดดในเวลาต่อมา อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง

2. อันตรายจากแสงแดดทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง

เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดดจัดนานๆรังสี UV จะเข้าทำลาย DNA (genotoxic) จนอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ เพราะในแสงแดดจะมีสารกระตุ้นมะเร็งอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้รับแสงแดดจัด ๆ โดยตรงเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากขึ้น

3. อันตรายจากแสงแดดทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย

เป็นที่รู้กันว่า เซลล์เม็ดเลือดขาวเป็นเซลล์ที่ช่วยป้องกันและต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่อาจทำอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่า รังสียูวีที่ทำให้ผิวเกิดอาการไหม้แดดอาจจะส่งผลกระทบถึงการกระจายตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ และอาจส่งผลกระทบถึงระบบภูมิคุ้มกันได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากถูกแดดเผา ซ้ำร้ายหากโดนรังสียูวีทำร้ายซ้ำบ่อยๆ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ

4. อันตรายจากแสงแดดทำให้ผิวหนังอักเสบติดเชื้อได้ง่าย

เนื่องจากรังสียูวีอาจเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้ง่ายดายขึ้น โดยเฉพาะจากปรสิต นอกจากนี้เมื่อเหงื่อออกมากเปียกเสื้อผ้าที่สวมใส่ เกิดความอับชื้นตามซอกข้อพับผิวหนังต่างๆ ยิ่งอุณหภูมิสูงยิ่งทำให้เกิดผดผื่นง่ายขึ้น หรือเด็กๆ มักชอบออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้ง ผิวหนังสัมผัสกับสิ่งสกปรก ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบได้อีก

5. อันตรายจากแสงแดดทำให้เป็น โรคผิวหนัง และโรคระบบอื่นๆ กำเริบ

แสงแดดอาจทำให้โรคผิวหนังและโรคอื่นๆ หลายโรคกำเริบขึ้นได้ เช่น โรคลมพิษจากแสงแดด โรคเอสแอลอี และโรคติดเชื้อเริมเป็นต้น

6. อันตรายจากแสงแดดทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

เนื่องจากรังสียูวีสามารถเข้าไปทำลายคอลลาเจนในเซลล์ผิวและเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ หรือริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย และไม่เฉพาะแต่ที่ผิวหน้าเท่านั้น ส่วนผิวที่โผล่พ้นร่มผ้าอย่างผิวบริเวณคอ แขน หรือขา ก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ทางที่ดีเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนจึงควรทาครีมกันแดดปกป้องผิวก่อนจะออกแดดทุกครั้ง

7. อันตรายจากแสงแดดทำให้กระจกตาอักเสบ

หากปล่อยให้รังสียูวีทำร้ายดวงตานานๆ อาจทำให้เป็นกระจกตาอักเสบได้ โดยจะมีอาการแสบตา น้ำตาไหล แพ้แสง และตาแดง จากนั้นจะลามไปเป็นต้อเนื้อ ต้อลม หรือต้อกระจกได้

8. อันตรายจากแสงแดดทำให้เป็นโรคต้อกระจก

โรคต้อกระจกเกิดขึ้นได้ง่ายจากรังสียูวี และยังทำให้จอตาเสื่อมสภาพลงอีกด้วย ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้มีการสันนิษฐานว่า ยูวีอาจไปกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน และอาจไปทำให้เกิดปฏิกิริยากับไขมันที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ สำหรับอาการของโรคต้อกระจกก็คือ เลนส์ที่แก้วตาจะเริ่มขุ่นมัวไปทีละน้อยๆ ซึ่งหากเป็นมากๆ ความขุ่นมัวก็จะลุกลามเข้าไปถึงส่วนกลางของกระจกตา จนทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนเหมือนปกติ

9. อันตรายจากแสงแดดทำให้เป็นโรคต้อเนื้อ

โรคต้อเนื้อคือโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเยื่อบุตา จนกลายเป็นเนื้อสีแดงรูปสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปในตาดำ สาเหตุเกิดจากเยื่อบุตาส่วนนั้นถูกแสงยูวีจากดวงอาทิตย์มากเกินไป ซึ่งหากเป็นต้อเนื้อแล้วจะรู้สึกเคืองตา คันตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล โดยอาการจะเป็นมากขึ้นหากไปอยู่กลางแจ้ง หรือโดนแดดโดนลม ผู้ที่ยังมีอาการไม่มากอาจไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่หากต้อเนื้อลุกลามไปบดบังตรงกลางของกระจกตา ก็จะมีผลต่อการมองเห็น

10. อันตรายจากแสงแดดทำให้เป็นกระแดดและฝ้า

กระแดดและฝ้าสามารถเกิดได้โดยมีสาเหตุจากการที่รังสียูวีเอและแสงช่วงที่ตามองเห็น (Visible Light) เข้าไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลาโนไซต์ (Melanocyte) จนทำให้ผลิตเซลล์เม็ดสีเมลานิน (Melanin) ซึ่งอยู่ในผิวหนังชั้นนอกส่วนล่าง (Epidermis) ออกมาจึงทำให้มีการทำงานมากผิดปกติ ยิ่งมีเมลานินมาก ผิวก็จะยิ่งมีสีเข้ม สามารถมองเห็นผิวหนังมีสีไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นรอยจุดๆ เล็กที่เรียกว่ากระ หรือเป็นปื้นๆ ที่เรียกว่าฝ้า ซึ่งสาเหตุก็เพราะแสงแดดทำร้ายด้วยกันทั้งนั้น

เนื่องจากประเทศไทยเรามีแนวโน้มจะร้อนและแสงแดดแรงกล้ามากขึ้นทุกที ทางที่ดีอย่าออกไปกลางแจ้งช่วงที่แดดแรงๆ จะดีที่สุด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อยสัก 15 นาทีก่อนออกแดด กางร่ม สวมเสื้อผ้าแขนขายาว สวมหมวก และสวมแว่นกันแดดทุกครั้ง เพื่อช่วยให้ร่างกายไม่ต้องโดนแสงแดดปริมาณมากมาทำร้าย

แหล่งที่มาของข้อมูล

https://www.honestdocs.co/summer-sunshine-more-dangerous-than-we-think
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์, หมอเตือนตากแดดจ้า เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง (http://www.dms.moph.go.th/dmsw…)

อ่านเพิ่มเติม