สารอาหารกระตุ้นภูมิคุ้มกันลูกน้อย

สารอาหารกระตุ้นภูมิคุ้มกันลูกน้อย

สำหรับเด็กน้อยในระยะขวบปีแรก ระบบภูมิคุ้มกันจะยังทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงปกป้องเชื้อโรคต่างๆได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่นะคะ

การที่พ่อแม่ให้ลูกน้อยได้รับอาหารที่สมดุลและหลากหลายจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าลูกน้อยได้รับปริมาณสารอาหารในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างเพียงพอ

สารอาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันลูกน้อย

โปรตีนและธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอย่างสมบูรณ์

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และสังกะสี ช่วยรักษาให้เซลล์ต่างๆ ของระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงสมบูรณ์

ดีเอชเอ เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วยบรรเทาโรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น โรคหืด และโรคลำไส้ต่างๆ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน

แหล่งอาหารที่ให้สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกันลูกน้อย

สารอาหาร

แหล่งอาหาร

โปรตีน, ธาตุเหล็ก และสังกะสี

เนื้อวัว, เนื้อหมู, เนื้อไก่ไม่ติดมัน และเนื้อปลา, ตับ, ไข่แดง และพืชตระกูลถั่ว

วิตามินซี

ส้ม, มะละกอ, สตรอเบอรี, แคนตาลูป, มะม่วง, บร็อกโคลี และมะเขือเทศ

เบต้า แคโรทีน

มะม่วง, บร็อกโคลี, แครอท, ฟักทอง, ผักปวยเล้ง และมันฝรั่งหวาน

ดีเอชเอ

ปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน และแมคเคอเรล

สารอาหารสำคัญอีกชนิดหนึ่ง คือพรีไบโอติก เป็นสารอาหารที่ช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสามารถขยายพันธุ์เพิ่มจำนวน และเจริญเติบโตค่ะ น้ำนมแม่มีพรีไบโอติกซึ่งกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพมีประโยชน์ต่อร่างกายชนิดนี้ และลดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรคจึงช่วยรักษาสภาวะสมดุลของจุลินทรีย์

ในทางเดินอาหารที่เหมาะสมในระบบย่อยอาหารของลูกน้อย ทำให้การย่อยอาหารและภูมิคุ้มกันของทารกมีสุขภาพดีค่ะ

ทางเดินอาหารที่มีสุขภาพสมบูรณ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของทารกน้อย เนื่องจาก 2 ใน 3 ของเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันนั้นอยู่ในทางเดินอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย จึงจำเป็นต้องมีจุลลินทรีย์สุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในทางเดินอาหาร เพื่อป้องกันการรุกรานของจุลินทรีย์ก่อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกายนะคะ

สำหรับทารกในวัยที่เริ่มกินอาหารเสริมได้แล้ว พรีไบโอติกอาจมาจากอาหารชนิดอื่นได้ เช่น ผักหรือผลไม้บางชนิด เช่น ตำลึง หรือกล้วยค่ะ

แหล่งที่มา :  https://www.hifamilyclub.com/

อ่านเพิ่มเติม

ฟักทอง ช่วยชะลอดวงตาเสื่อม

การเสื่อมของดวงตาไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเท่านั้นหากแต่พบได้ทุกเพศทุกวัย เนื่องจากการใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์เป็นเวลานานๆ ของคนยุคนี้ อาหารที่ช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี อยู่ที่ไหน ไม่ว่าเมืองไทยหรือต่างประเทศก็หากินได้ง่ายราคาถูกก็คือ ฟักทอง

ผลฟักทองให้วิตามินเอสูงมาก ฟักทอง 100 กรัมจะให้วิตามินเอสูงถึง 7,384 ไอยู (International unit) วิตามินเอ นอกจากจะดีต่อผิวพรรณแล้ว ยังช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น และป้องกันเยื่อบุตาแห้ง ผลฟักทองมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อดวงตา คือ สารลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids)

สารลูทีนจะพบมากบริเวณจอรับภาพของจอประสาทตาและเรตินาหรือจอตา โดยจะทำหน้าที่กรองแสงที่เป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น แสงแดด แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ และสมาร์ตโฟนซึ่งมีผลทำให้จอประสาทตาเสื่อม

นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของดวงตา ป้องกันโรคที่เกิดจากโรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม และทำให้การมองเห็นดีขึ้น การกินฟักทองเป็นประจำจึงเป็นการบำรุงรักษาสายตาอย่างดียิ่ง

อ่านเพิ่มเติม

ปวดหัวแบบไหน บอกอะไรคุณได้บ้าง

ปวดหัว เป็นอาการที่ทุกคนต่างเคยเจอ ไม่ว่าจะปวดมากปวดน้อย แต่อาการปวดหัวแต่ละอย่างนั้นไม่เหมือนกัน นี่คือ 4 อาการปวดหัวที่พบกันบ่อยที่สุด และสาเหตุของมัน
ปวดหัว เป็นอาการตอบสนองทางร่างกายต่อสิ่งเร้าที่เกิดกับร่างกายของเรา ถึงแม้เราจะรู้สึกเหมือนกันว่า ปวดหัวก็คือปวดหัว แต่ความจริงแล้วอาการปวดนั้นแตกต่างกันไปทั้งความรู้สึกและความรุนแรง รวมถึงตำแหน่งที่เกิดอาการปวดด้วย ฉะนั้น การจะรับมือกับอาการปวดหัวแต่ละแบบ เราควรมาทำความรู้จักกับความรู้สึกของการปวดและตำแหน่งที่ปวดกันก่อน เพราะอาการปวดหัวแต่ละแบบนั้นบ่งบอกสาเหตุและโรคที่แตกต่างกันไปครับ

ปวดหัว ข้างเดียว
ลักษณะของอาการปวดแบบนี้ก็คือ มักจะมีอาการปวดเพียงด้านเดียวของศีรษะ อาจมีการย้ายข้างได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะปวดเพียงข้างเดียวของศีรษะ โดยมักจะปวดบริเวณขมับ ความรู้สึกจะปวดตุบๆ ตามจังหวะชีพจร มักจะปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกาย และมักจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งจะเกิดอาการปวดที่ด้านหลังดวงตาและศีรษะร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการไวต่อแสงและเสียง และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยเป็นบางครั้ง

อาการปวดหัวแบบนี้เป็นอาการปวดเนื่องมาจากโรคไมเกรน ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่สร้างความทรมานให้ผู้ป่วยทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 10 ในเมืองไทยก็มีสถิติของผู้ป่วยไมเกนมากกว่าร้อยละ 17 โดยส่วนใหญ่เป็นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ระยะเวลาของอาการปวดอาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจปวดนานถึง 72 ชั่วโมง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วยาแก้ปวดธรรมดาแบบพาราเซตามอลมักใช้ไม่ได้ผลกับการปวดหัวแบบไมเกรน ต้องใช้ยาแก้ปวดที่แรงขึ้น เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อสั่งยาให้จะดีกว่านะครับ อีกอย่างหนึ่งก็คือ หากมีอาการปวดหัวจากไมเกรนบ่อยๆ แพทย์จะสามารถแนะนำให้กินยาป้องกันได้ด้วยครับ

ปวดหัว ตื้อๆ หนักๆ

เคยเป็นกันมั้ยครับ อาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ และท้ายทอย อาการปวดจะรู้สึกเท่าๆ กันทั้งสองด้านของศีรษะ โดยอาจจะเริ่มต้นที่ด้านหลังของศีรษะ และคอ แล้วเรื่อยลงไปที่ไหล่ หรืออาจปวดจากไหล่ขึ้นมาหาศีรษะก็เป็นได้

อาการปวดนี้อาจจะต่อเนื่องกันอยู่นานเพียงครึ่งชม. จนถึงหลายวัน บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ หรืออาจเป็นแรมเดือน หรืออาจเป็นๆ หายๆ ก็ได้ โดยอาการปวดมักจะคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นความรู้สึกปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญ หรือทำให้รู้สึกไม่สบาย แต่จะไม่มีไข้ ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ตาพร่าลาย ไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยอาจจะปวดตั้งแต่หลังตื่นนอนตอนเช้า หรือไปปวดเอาตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากต้องคร่ำเคร่งทำงานหนัก หรือมีเรื่องวิตกกังวล

หากนี่คืออาการปวดที่คุณกำลังเชิญอยู่ คุณอาจกำลังเจออาการปวดหัวเนื่องจากความเครียดเข้าให้แล้วก็ได้ครับ

อาการปวดหัวจากความเครียดเป็นหนึ่งในอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด ในกลุ่มคนวัยทำงานในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่สาเหตุจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ ลำคอ และใบหน้า ซึ่งอาจถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าหลาย รวมทั้งการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อไหล่ คอ จากท่านั่ง ความเครียด หรือการขาดการนอนหลับ

หากคุณรู้สึกว่ากำลังถูกรบกวนด้วยอาการปวดหัวแบบนี้ ซึ่งอาจบรรเทาได้ด้วยการกินยาแก้ปวดแบบธรรมดา แต่ถ้าปวดหัวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจนะครับ การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลตัวเองและการปฏิบัติตัว ซึ่งเทคโนโลยีการแพทย์แบบ Telemedicine สามารถช่วยคุณในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถพบแพทยืได้ในทันทีที่ต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปพบแพทย์ เหมาะอย่างยิ่งกับชีวิตของคนทำงานอย่างเราๆ ครับ

ปวดหัวหรือปวดฟัน

อาจมีบางครั้งที่คุณรู้สึกปวดร้าวที่แนวกรามและขากรรไกร จากนั้น ก็ลามไปปวดที่ศีรษะทั้งสองข้าง เป็นอาการปวดเหมือนมีอะไรมารัดรึงที่หัว หรือปวดตื้อๆ หรืออาจมีอาการปวดรอบๆ ลูกตาด้วย

อาจฟังดูไม่น่าเชื่อที่อาการปวดหัวแบบนี้ สาเหตุที่แท้จริงแล้วมาจากไม่ได้มาจากหัว แต่มาจากปัญหาเรื่องสุขภาพฟันของเรา เนื่องมาจากฟัน ข้อต่อกรรไกร กล้ามเนื้อบดเคี้ยว กล้ามเนื้อคอ และกล้ามเนื้อบริเวณไหล่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จึงมีส่วนชักนำทำให้เราปวดหัวได้

โดยหากเรามีปัญหาเรื่องการสบฟันที่ผิดปกติ เช่น มีฟันเก ฟันล้ม ฟันถูกถอนไป มีการเคี้ยวข้างเดียวไม่สมดุล การทำงานของกล้ามเนื้อก็พลอยไม่สมดุลไปด้วย เพราะทำงานหนักไปข้างหนึ่ง โดยไม่มีโอกาสพักทำงานตลอดเวลา ทำให้มันมีการสะสมของการดึงรั้งอย่างมาก จนในที่สุดก็เป็นการเปลี่ยนมาเป็นการเจ็บปวดที่ศีรษะแทน

อาการปวดแบบนี้เรียกว่าเป็น “อาการปวดแบบส่งต่อ” หรือ “referred pain” นั่นคือ ต้นตอการปวดอยู่ที่หนึ่ง แต่จะไปรู้สึกมีอาการปวดอีกที่หนึ่ง

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่การกินยาแก้ปวด แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ซึ่งหากอาการปวดหัวของคุณมาจากการปัญหาเรื่องฟัน จะได้ปรึกษาทันตแพย์เพื่อตรวจภายในช่องปากและทำการรักษาต่อไปครับ

ปวดหน่วงๆ ที่หน้าผากและกระบอกตา

ถ้าคุณกำลังรู้สึกถึงอาการปวดตื้อๆ หน่วงๆ บริเวณหน้าผาก ร้อนผ่าวๆ ที่กระบอกตา รวมถึงโหนกแก้ม ในบางรายอาจรู้สึกคล้ายปวดฟันซึ่บน โดยอาจปวดเพียงข้างเดียวหรือปวดทั้งสองข้างก็ได้ บางครั้งอาจมีอาการมึนศีรษะร่วมกับอาการปวด และอาการปวดมักจะเป็นมากขึ้นในช่วงเช้าหรือบ่าย และเวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่า

อาการปวดในลักษณะนี้ เมื่อมีอาการอื่นร่วมด้วย อย่างเช่นอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหลนานต่อเนื่อง ไอติดต่อกัน ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ก็สันนิษฐานได้ว่านั่นไม่ใช่แค่อาการปวดหัวธรรมดาๆ แต่คุณอาจเจอกับอาการไซนัสอักเสบเข้าให้แล้วครับ

ไซนัส ก็คือโพรงอากาศที่อยู่รอบๆ โพรงจมูกเราทั้งซ้ายและขวา มีหน้าที่ให้ความอบอุ่นและความชื้นแก่อากาศที่หายใจเข้าไปในทางเดินหายใจ ช่วยปรับเสียงพูด ช่วยในการรับรู้กลิ่น และสร้างเมือก เพื่อให้ความชื้นและชะล้างโพรงจมูก ตามปกติทางเชื่อมต่อนี้จะเปิดโล่งและเมือกหรือน้ำมูลใสๆ ที่มีการสร้างอยู่ในไซนัส ก็สามารถไหลระบายลงสู่โพรงจมูกได้

แต่ถ้าหากทางเชื่อมดังกล่าวเกิดการอุดกั้นขึ้นมาด้วยสาเหตุใดก็ตาม เมือกที่ผลิตในไซนัสไม่สามารถออกมาได้ ก็จะทำให้เรามีอาการปวดบริเวณหน้าผาก หัวคิ้ว ระหว่างตาทั้งสองข้างหรือบริเวณแก้ม ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเพียงพอ รูเปิดระหว่างช่องจมูกและไซนัสมีการตีบตันมานานจนเรื้อรัง การบวมของเยื่อบุอาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นริดสีดวงจมูก หรือมีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนองในไซนัสได้

ไซนัสอักเสบบางชนิดรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดอาจรักษาหาย แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นใหม่ ทางที่ดีที่สุดก็คือควรปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรังครับ

เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกปวดหัวในแบบที่ว่านี้ อย่าเพิ่งคว้ายาแก้ปวดมากินประทังไปวันๆ เลยครับ การปรึกษาแพทย์จะช่วยคุณได้ดีที่สุด โดยหากยังไม่แน่ใจว่าอาการปวดของตัวเองจะเกี่ยวเนื่องกับสาเหตุใดๆ การได้ปรึกษาแพทย์โดยตรงจะช่วยให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้องและตรงจุด ซึ่งเดี๋ยวนี้ การปรึกษาแพทย์ก็สามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยเทคโนโลยี Telemedicine ที่สามารถได้รับคำปรึกษาได้อย่างทันใจทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเลย

คราวนี้ ก็ไม่ต้องทนกับอาการปวดแบบไม่รู้สาเหตุ และไม่ต้องกินยาแก้ปวดแบบผิดวิธีกันอีกต่อไปแล้วนะครับ

แหล่งที่มา : https://www.seedoctornow.com/headache/

อ่านเพิ่มเติม

7 ประโยชน์จากการว่ายน้ำของเด็ก

การว่ายน้ำสำหรับเด็ก ทั้งในสระน้ำเด็ก หรือสระน้ำทั่วไป

ถือเป็นการออกกำลังกาย ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา

เพราะเป็นเมืองร้อน ที่เด็กจะได้ทั้งความสนุก เพลิดเพลิน

พร้อมกับออกกำลังกายไปในตัว

ทั้งยังเป็นทักษะที่สำคัญ ในการเอาตัวรอดเวลาจนน้ำอีกด้วย

วันนี้เราขอแชร์ 7 ประโยชน์ที่ได้จากการว่ายน้ำ

สำหรับเด็ก 1-5 ขวบกันนะครับ

1.ช่วยให้เด็ก รับประทานอาหารเยอะขึ้น

เพราะเหนื่อยล้า จากการว่ายน้ำ ร่ายกายใช้พลังงานสูง

ทำให้อยากรับประทานอาหารมากขึ้น มีผลต่อการเจริญเติบโต

2.ทำให้เด็กหลับง่าย หลับลึก นอนเร็ว

เพราะร่างกายได้ออกกำลังเต็มที่ ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ

ทำให้เข้านอนตอนหัวค่ำได้เร็ว และจะมีผลต่อการผลิต Growth Hormone

ในร่างกายที่ทำให้ลูก เจริญเติบโตได้ดีตามวัย

3.ทำให้ลูกมีอารมณ์ที่ดี ไม่ใจร้อน ขี้หยุดหงิดได้ง่าย

เนื่องจากอากาศบ้านเรา ที่ค่อนข้างร้อน ทำให้เด็กมีอาการขี้โมโหได้

การเล่นน้ำ จะเป็นการปรับอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง

ให้ความรู้สึกเป็นอิสระ ผ่อนคลาย ทำให้เด็กปรับตัวได้ดีขึ้น

4.เด็กจะจดจำการเคลื่อนไหวไปตลอดชีวิต

ซึ่งเป็นข้อดี ที่เป็นทักษะสำคัญ ในการเอาตัวรอดเมื่อจมน้ำ

และในอนาคต ยังสามารถต่อยอดไปเป็นนักกีฬาว่ายน้ำได้ไม่ยากอีกด้วย

5.กระตุ้นการสร้างจินตนาการของเด็กได้ดีเยี่ยม

ลูกๆจะมีจินตนาการในในน้ำได้ดี เนื่องจากเคลื่อนไหวได้อิสระ เหมือนลอยได้

เช่น จินตนาการเป็นปลา นก บอลลูน ฯลฯ

ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

6.สร้างความผูกพันธ์ ให้ครอบครัว

พ่อและแม่ ควรลงไปเล่นน้ำกับลูกน้อยอย่างใกล้ชิด

ซึ่งจะทำให้เค้าได้รับความผูกพันธ์ และความอบอุ่นที่มีจากพ่อแม่

และเป็นประสบการณ์ที่ดี ในการสร้างความรักในครอบครัวอีกด้วย

7.ปรับสมดุลในร่างกายของเด็กได้ดี

การว่ายน้ำ หรือเล่นในน้ำที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ที่ประมาณ 30ถึง 33องศา

จะช่วยปรับสมดุลร่างกายของลูกน้อย ให้มีความสมดุลมากยิ่งขั้น

มีผลทำให้การเจริญเติบโตได้ดียิ่งขั้น

แหล่งข้อมูล : http://familypoolday.lnwshop.com

อ่านเพิ่มเติม

วิธีแก้อาการ ปวดหลัง ปวดไหล่ ขณะขับรถ

จริงๆช่วงเวลาของมนุษย์นักขับ ควรจะเป็นเวลาที่มีความสุขเมื่อได้อยู่บนท้องถนนกับรถยนต์คันโปรด ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางในเมืองหรือถนนเส้นยาวในต่างจังหวัด แต่หลายคนกลับต้องเจอเรื่องน่าหงุดหงิดใจคล้ายๆกันคือ อาการปวดหลัง ปวดไหล่ เมื่อยเเขน เพราะฉะนั้น จงระวังหลังของคุณให้ดี!

อาการปวดหลังระหว่างขับรถ เกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณแผ่นหลังเป็นเวลานานในท่าเดิม แม้บนเก้าอี้ที่ถูกออกแบบมาสําหรับสรีระในการนั่งขับขี่ ส่วนโค้งของหลังส่วนเอวจะโค้งกลับทิศขณะนั่ง กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ที่ต้องถูกเกร็งขึ้นเพื่อจับพวงมาลัยตลอดเวลา ประกอบกับการเพ่งมองไปข้างหน้าทําให้สายตาเกิดความเมื่อยล้า ทําให้เกิดความเครียด ส่งผลต่ออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เส้นประสาทต่างๆกับแรงกระทําต่อร่างกาย จากความเร่งในการเคลื่อนที่ แรงเหวี่ยง หรือแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวถนน และยังต้องใช้เท้าเหยียบเบรค และคันเร่งที่จะสามารถใช้ในการช่วยทรงตัวเหมือนเวลานังเก้าอี้ปกติได้ นั่นยิ่งทําให้กล้ามเนื้อหลังถูกใช้งานมากขึ้น ลองทําตามวิธีแนะนําเบื้องต้นเหล่านี้ เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังระหว่างขับรถ ให้ระหว่างทางที่จะไปถึงที่หมายไม่น่าหงุดหงิดใจมากนักค่ะ

วิธีแก้อาการปวดหลัง ปวดไหล่
– นั่งให้พอดีกับตัวคนขับในช่วงขา ทั้งระยะใกล้ไกลจากพวงมาลัยให้พอดีกับช่วงแขน ความสูงต่ำของเบาะ ความเอียงของเบาะพิงหลัง กระจกส่องข้างและกระจกมองหลัง เพื่อให้อยู่ในระยะที่สายตามองเห็นได้โดยไม่ต้องขยับศีระษะหรือโยกตัว
– หลังการขับอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 2 ชั่วโมง ควรพักสายตา เดินลงไปยืดเส้นสาย เดินไปมา หรือหากไม่สามารถทำได้ ก็ควรยืดตัว เอนหลังบ่อยๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหวบ้าง
2 เคล็ดลับเหล่านี้อาจช่วยคุณได้ในเบื้องต้น แต่การป้องกันที่ดี คือการออกกําลังกายที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังได้ยืดหยุ่น ผ่อนคลาย เคลื่อนไหวได้อย่างไม่เครียดเกร็ง

แหล่งที่มา : https://www.health-th.com/

อ่านเพิ่มเติม